ในยุคที่ตลาดผู้บริโภคถูกขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ การตลาดดิจิทัลจำเป็นต้องผสมผสานกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของ GEN-Y (Millennials) และ GEN-Z เพื่อสร้างความผูกพันที่ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ GEN-Y ซึ่งเกิดระหว่างปี 1981-1996 และมีอายุราว 29-44 ปีในปัจจุบัน มักให้ความสำคัญกับคุณค่า และประสบการณ์ที่ยั่งยืน โดยพวกเขามีกำลังซื้อสูง และมองหาแบรนด์ที่ช่วยเสริมสร้างชีวิตที่ดีขึ้น
ในขณะที่ GEN-Z ซึ่งเกิดระหว่างปี 1997-2012 และมีอายุ 13-28 ปี เติบโตมาในยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ จึงเน้นความสนุก ความแท้จริง และการมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น (Active) การผสมผสานกลยุทธ์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งสองได้อย่างกว้างขวาง แต่ยังสร้างความเชื่อมโยงผ่านคอนเทนต์ที่สะท้อนถึงจุดร่วม เช่น ความใส่ใจต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ส่วนตัว
RAMPAGESOFT ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การตลาด ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากแคมเปญตัวอย่าง พบว่าการรวมแนวทางเหล่านี้สามารถเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) ได้สูงถึง 40-50% ในปี 2025 โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ครอบคลุมทั้งสองรุ่น นอกจากนี้ จากการศึกษาของ Sprout Social พบว่าการตลาดแบบ Generational ช่วยให้แบรนด์เพิ่มยอดขายได้เฉลี่ย 25% โดยการปรับคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม
กลยุทธ์สำหรับ GEN-Y เน้นคุณค่า และประสบการณ์ยั่งยืน
GEN-Y ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า และมักอยู่ในวัยสร้างครอบครัว หรืออาชีพ มองหาแบรนด์ที่นำเสนอคุณค่าที่แท้จริงประสบการณ์ที่ยั่งยืน โดยพวกเขาไม่เพียงซื้อสินค้าแต่ลงทุนในสิ่งที่ช่วยพัฒนาชีวิต เช่น สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือบริการที่สนับสนุนสุขภาพจิต และกาย จากข้อมูลของ Deloitte Global ในปี 2025 พบว่า 68% ของ GEN-Y ยินดีจ่ายแพงกว่าเพื่อสินค้าที่ยั่งยืน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ลดการใช้พลาสติก หรือสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น
การตลาดสำหรับกลุ่มนี้จึงต้องเน้นเนื้อหาที่มีสาระ และเรื่องราว เช่น การใช้บล็อก (Blog), พอดแคสต์ (Podcast) หรือวิดีโอยาวเพื่อเล่าเบื้องหลังกระบวนการผลิตที่โปร่งใส ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Patagonia ซึ่งเป็นเคสศึกษาที่ประสบความสำเร็จ โดยใช้แคมเปญ "Don't Buy This Jacket" เพื่อชวน GEN-Y ลดการบริโภค และเลือกสินค้าที่คงทน ซึ่งไม่เพียงเพิ่มยอดขายแต่ยังสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ การสร้างประสบการณ์ยั่งยืนสามารถทำได้ผ่านการปรับแต่งส่วนบุคคล (Personalization) เช่น การใช้ AI เพื่อแนะนำสินค้าตามไลฟ์สไตล์ เช่น แอปฟิตเนส ที่ปรับแผนออกกำลังกายตามข้อมูลสุขภาพส่วนตัว ซึ่งช่วยให้ GEN-Y รู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจ และสนับสนุนเป้าหมายชีวิตของพวกเขา
ข้อควรระวังคือ ต้องหลีกเลี่ยงคอนเทนต์ที่ดูขายตรงเกินไป เพราะ GEN-Y ชอบข้อมูลที่เป็นกลาง และรีวิวจากผู้ใช้จริง โดยกลุ่ม GEN-Y มักใช้แพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn หรือ Facebook, X , Google เพื่อหาข้อมูลละเอียดก่อนตัดสินใจ ซึ่งจากสถิติของ eMarketer พบว่า 75% ของ GEN-Y ตรวจสอบรีวิวก่อนซื้อ
ประโยชน์ของกลยุทธ์นี้คือ การสร้างความภักดีระยะยาว โดย GEN-Y มักกลายเป็นการสนับสนุน (Advocate) ของแบรนด์ที่พวกเขารัก ส่งผลให้เกิด Word-of-mouth marketing (WOM marketing) ที่มีประสิทธิภาพสูง
กลยุทธ์สำหรับ GEN-Z : เน้นความสนุก ความแท้จริง และการมีส่วนร่วม
GEN-Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตมากับสมาร์ทโฟน และโซเชียลมีเดีย มองหาแบรนด์ที่นำเสนอความสนุก ความแท้จริง และโอกาสในการมีส่วนร่วม โดยพวกเขาไม่ชอบโฆษณาแบบดั้งเดิมแต่ชื่นชอบคอนเทนต์ที่ Relatable และ Viral จากรายงานของ Hootsuite ในปี 2025 พบว่า 85% ของ GEN-Z ใช้ TikTok, Reels, YouTube Shorts, เป็นหลัก และชอบคอนเทนต์สั้นๆ ที่ตลก หรือสร้างแรงบันดาลใจภายใน 15 วินาที
การตลาดจึงต้องแท้จริง เช่น การใช้ User-Generated Content (UGC) หรือ เนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ ที่ให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอรีวิว หรือ Challenge ด้วยตัวเอง เพื่อแสดงว่าผู้คนจริงๆ ชอบสินค้า ไม่ใช่สคริปต์ที่ปรุงแต่ง ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Nike ที่ประสบความสำเร็จกับแคมเปญ #JustDoItChallenge บน TikTok ซึ่งชวน GEN-Z แชร์วิดีโอการออกกำลังกายส่วนตัว ส่งผลให้ยอดวิวทะลุพันล้าน และเพิ่มยอดขายรองเท้ากว่า 30%
ความสนุกสามารถสร้างได้ผ่านมีม AR Filters หรือ Interactive Content เช่น เกมบน Instagram ที่ให้รางวัลเป็นคูปอง ซึ่งช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม โดย GEN-Z ชอบแบรนด์ที่โปร่งใสและสนับสนุนประเด็นสังคม เช่น LGBTQ+ หรือ Climate Change จากข้อมูลของ Global Wellness Institute (GWI) หรือ สถาบันส่งเสริมสุขภาพระดับโลก พบว่า 59% ของ GEN-Z วางแผนประหยัดเงินมากขึ้นในปี 2025 แต่ยินดีใช้จ่ายกับแบรนด์ที่แท้จริง และให้โอกาสมีส่วนร่วม
ข้อควรระวังคือ ต้อง Mobile-First ทุกอย่าง เพราะ GEN-Z ใช้โทรศัพท์เป็นหลัก โดยจาก Deloitte พบว่าพวกเขาใช้เวลา 50 นาทีต่อวันมากกว่าค่าเฉลี่ยบนโซเชียลมีเดีย ประโยชน์คือการสร้าง Viral Effect ที่รวดเร็ว โดย GEN-Z มักแชร์คอนเทนต์ที่สนุก ส่งผลให้แบรนด์ขยาย Reach โดยไม่ต้องใช้งบโฆษณามาก
การผสมผสานกลยุทธ์ : รวมจุดแข็งเพื่อตอบโจทย์ทั้งสองรุ่น
การผสมผสานกลยุทธ์ระหว่าง GEN-Y และ GEN-Z คือการหาจุดร่วมที่ทำให้ทั้งสองกลุ่มรู้สึกเชื่อมโยง เช่น การสร้างแคมเปญที่ผสานคุณค่าที่ยั่งยืนเข้ากับความสนุก และการมีส่วนร่วม โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง AI เพื่อ Personalize ประสบการณ์ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Starbucks ที่เปิดตัวแคมเปญ "Sustainable Sips" ความยั่งยืนการเลือกใช้วัสดุที่ผลิตจากแหล่งหมุนเวียน โดยใช้ บล็อก (Blog) และพอดแคสต์ (Podcast) สำหรับ GEN-Y เพื่อเล่าถึงกระบวนการกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็ชวน GEN-Z สร้างวิดีโอสั้นๆ บน TikTok แสดงการ Customize เครื่องดื่มจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งช่วยให้ทั้งสองรุ่นมีส่วนร่วมในธีมเดียวกัน ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 20% และ Engagement สูงจาก User-Generated Content (UGC) ที่ข้ามเจเนอเรชัน
ข้อดีของการผสมผสานคือ การขยายตลาด โดย GEN-Y สามารถเป็น Role Model สำหรับ GEN-Z เช่น การใช้ Influencer GEN-Y ที่มี Follower GEN-Z เพื่อโปรโมทคอลเลกชันพิเศษ จากรายงานของ Vogue Business (บริการออนไลน์ด้านธุรกิจแฟชั่น และไลฟ์สไตล์) พบว่า 51% ของ GEN-Z เชื่อว่า Influencer สร้างเทรนด์ใหม่ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับคุณค่าของ GEN-Y ได้ดี
ข้อควรระวังคือ ต้องหลีกเลี่ยงคอนเทนต์ที่ดูถูกบังคับ (Forced) โดยเน้นความถูกต้อง Authenticity เพื่อไม่ให้ GEN-Z มองว่าเป็นการขายตรงเกินไป นอกจากนี้ การใช้ Cross-Platform เช่น เริ่มจาก Facebook, LinkedIn, X สำหรับ GEN-Y แล้วลิงก์ไป TikTok สำหรับ GEN-Z จะช่วยเพิ่ม Traffic และ Conversion Rate โดยรวม
การสร้างความเชื่อมโยงผ่านคอนเทนต์สำหรับ GEN-Y และ GEN-Z
คอนเทนต์คือเครื่องมือหลักในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง GEN-Y และ GEN-Z โดยต้องออกแบบให้ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างแต่มีจุดร่วม เช่น ความใส่ใจต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาตัวเอง สำหรับ GEN-Y คอนเทนต์ควรมีคุณค่า และเชิงลึก เช่น บทความ หรือวิดีโอยาวที่ให้คำแนะนำชีวิตจริง เช่น "วิธีเลือกผลิตภัณฑ์ยั่งยืนเพื่อครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ" ซึ่งช่วยสร้าง Emotional Connection และทำให้พวกเขารู้สึกว่าแบรนด์เป็นพันธมิตรในชีวิต จากสถิติของ Digital Marketing Institute พบว่า 70% ของ GEN-Y ชอบคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อตัดสินใจซื้อ
ในทางกลับกัน สำหรับ GEN-Z คอนเทนต์ต้องสั้น สนุก และชวนมีส่วนร่วม เช่น มีม วิดีโอ Challenge หรือ องค์ประกอบเสมือนจริงลงบนโลกแห่งความเป็นจริง (AR Filters) ที่ให้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัว เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน โดยจากรายงานของ Billo Videos UGC พบว่า GEN-Z มีแนวโน้มซื้อจากคอนเทนต์ที่แท้จริงสูงถึง 80% ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับคุณค่าของ GEN-Y ได้ผ่านธีมร่วม เช่น "แคมเปญลดขยะพลาสติก" ที่เริ่มจากบทความที่มีความยาวตั้งแต่ 1,000 คำขึ้นไป (Long Blog) สำหรับ GEN-Y เพื่ออธิบายผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แล้วตัดเป็นคลิปสั้นบน TikTok ชวน GEN-Z แชร์ไอเดียส่วนตัวผ่าน UGC นอกจากนี้ การใช้ AI เพื่อปรับแต่งเหมาะกับบุคคลิก (Personalize) เช่น แนะนำคอนเทนต์ตามพฤติกรรม จะช่วยให้ GEN-Y ได้ข้อมูลยั่งยืน ขณะที่ GEN-Z ได้ความสนุกแบบทันที (Instant) เช่น แอปที่สร้างมีมส่วนตัวจากธีมสิ่งแวดล้อม
เคสศึกษาที่น่าสนใจคือแคมเปญของ Adidas "Run for the Oceans" กิจกรรมวิ่งการกุศลระดับโลก สร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหามลพิษพลาสติกในมหาสมุทร ซึ่งผสานคอนเทนต์ยั่งยืนสำหรับ GEN-Y ผ่านพอดแคสต์เล่าถึงการลดขยะทะเล กับ Challenge บน Instagram สำหรับ GEN-Z ที่ชวนวิ่ง และแชร์วิดีโอ ส่งผลให้มีผู้เข้าร่วมกว่า 1 ล้านคน และเพิ่มยอดขายรองเท้ารีไซเคิล 35% โดยคอนเทนต์เหล่านี้ไม่เพียงเพิ่ม Engagement แต่ยังสร้าง Community ที่แข็งแกร่งข้ามเจเนอเรชัน จากข้อมูลของ Exploding Topics พบว่า GEN-Z ใช้จ่ายเฉลี่ย $1,000 ต่อปีกับแบรนด์ที่แท้จริง ซึ่งสามารถขยายไปยัง GEN-Y ที่ใช้จ่ายมากกว่าได้ผ่านคอนเทนต์เชื่อมโยง
สรุป
การผสมผสานกลยุทธ์การตลาดสำหรับ GEN-Y ที่เน้นคุณค่า และประสบการณ์ยั่งยืน กับ GEN-Z ที่ชอบความสนุก ความแท้จริง และการมีส่วนร่วม คือกุญแจสู่ความสำเร็จในปี 2025 โดยใช้คอนเทนต์เป็นตัวเชื่อมเพื่อสร้างความผูกพันที่แท้จริง และยั่งยืน RAMPAGESOFT แนะนำให้ธุรกิจลงทุนในแคมเปญที่ยืดหยุ่น โปร่งใส และเน้น Personalization เพื่อไม่พลาดโอกาสจากกลุ่มผู้บริโภคหลักเหล่านี้ หากต้องการวางแผนกลยุทธ์เฉพาะ หรือวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อทีมเราเพื่อช่วยออกแบบแคมเปญที่ตอบโจทย์การตลาดรุ่นใหม่อย่างครบวงจร